ความแตกต่างของราคาน้ำมันระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเกิดจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีราคาน้ำมันถูกกว่าไทยมาก อย่างเช่น ซาอุดีอาระเบียที่มีราคาเพียง 10.50 บาทต่อลิตร หรือมาเลเซียที่ราคาอยู่ที่ 18 บาทต่อลิตร เทียบกับไทยที่มีราคาสูงถึง 43.94 บาทต่อลิตร สาเหตุหลักมาจากโครงสร้างภาษีที่แตกต่างกัน ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเก็บภาษีน้ำมันในอัตราที่ต่ำมาก ในขณะที่ประเทศไทยมีการจัดเก็บทั้งภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันซึ่งทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
(https://i3.wp.com/blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfEmhPHndFf7l23g0DWaA-xFDv-FPCrYSEuh6AAd3kpWTKRnu4bHzAc5LnhvusjDXlq0rbJBYTe3DYjB3k0snVb4p3BIe5UTUQQ-bf1fusOeuoUoMeNqXP8RjIcNn8qwbJUPr4GACjMo3fKgNdLAHLKGyTQm0ZBEkVh4cWZXgf5B_BUKvVu7HFuprG_NkY/w640-h366/oil.webp?w=1200&resize=1200,0&ssl=1)
ปัจจัยสำคัญอีกประการคือต้นทุนการผลิตและการนำเข้า ประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบเป็นหลักอย่างประเทศไทยและญี่ปุ่น มีต้นทุนในการจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง และการกลั่นที่สูงกว่าประเทศที่สามารถผลิตน้ำมันได้เอง นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญ ในประเทศมาเลเซียมีนโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันให้กับประชาชน ทำให้ราคาถูกกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่บางประเทศในยุโรปอย่างอังกฤษมีราคาน้ำมันสูงถึง 75 บาทต่อลิตร เนื่องจากมีนโยบายเก็บภาษีสูงเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและส่งเสริมพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ราคาน้ำมัน (https://www.sanook.com/money/oil-price-today/)ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างมาก จากตัวเลขการเปรียบเทียบราคาน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศต่างๆ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันหลายเท่าตัว ตั้งแต่ราคาที่ต่ำที่สุดในซาอุดีอาระเบีย (10.50 บาท/ลิตร) ไปจนถึงราคาที่สูงที่สุดในอังกฤษ (75 บาท/ลิตร) โดยประเทศไทยอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง ที่ 43.94 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นและประเทศในยุโรปตะวันตก